บทความ
หุ้น vs. คริปโต แตกต่างกันอย่างไร?
อีกหนึ่งคำถามที่คาใจนักลงทุนรุ่นใหม่และผู้ที่เพิ่งเข้ามาในวงการคริปโต หลายคนน่าจะเคยได้ยินมาว่า “ถ้าอยากลงทุนให้ไปเล่นหุ้น” แต่เมื่อวงการคริปโตเคอร์เรนซีเริ่มเติบโตมากขึ้น ก็เริ่มมีการแนะนำให้ไปลงทุนในคริปโตแทน ดังนั้นวันนี้เราจะมาดูกันว่าระหว่างหุ้นและคริปโตเคอร์เรนซีในเชิงของการลงทุน มีจุดที่เหมือนกันและจุดที่แตกต่างกันอย่างไรบ้าง
ความเหมือน
ก่อนที่เราจะไปดูว่าหุ้นและคริปโตเคอร์เรนซีนั้นแตกต่างกันอย่าง เราต้องทำความเข้าใจถึงพื้นฐานที่เหมือนกันของสินทรัพย์ทั้ง 2 ประเภทนี้เสียก่อน โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.ขับเคลื่อนโดยอุปสงค์
มูลค่าของทั้งคริปโตและหุ้นต่างขึ้นอยู่กับปัจจัยเดียวกันนั่นคือปริมาณอุปสงค์ หรือความต้องการซื้อของตลาดนั่นเอง การทำกำไรจากการซื้อขายหุ้นหรือคริปโต เรียกว่าการ “เก็งกำไร” (Speculation) หรือก็คือการเลือกเข้าซื้อในช่วงราคาหนึ่ง รอให้ราคาสูงขึ้นในอนาคตเพื่อที่จะทำการขาย และทำกำไรจากส่วนต่างของราคาซื้อและราคาขาย
2.ไอเดีย
สมมติว่าหากเหรียญคริปโตเหรียญหนึ่งถูกสร้างขึ้นมาโดยมีไอเดียหรือจุดประสงค์ที่น่าสนใจ ก็ย่อมมีความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ในเหรียญนั้นๆที่มากตาม เหมือนกับบริษัทที่มีผลประกอบการดีและพื้นฐานมั่นคงทำให้เป็นที่ต้องการของนักลงทุน ซึ่งความน่าสนใจนี้นี่เองที่จะทำให้ปริมาณอุปสงค์เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงลบและเชิงบวก ซึ่งรวมถึงข่าวสารต่างที่อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของบริษัทหรือตัวเหรียญด้ว
3.มูลค่ายังผูกมัดกับเงิน Fiat
ปฏิเสธไม่ได้ว่ามูลค่าของคริปโตและหุ้นยังจำเป็นต้องนำไปเทียบกับเงิน Fiat อย่างเงินบาท ดอลลาร์ หรือยูโร เพื่อให้การเปรียบเทียบมูลค่าเป็นไปได้โดยง่าย เพราะว่าเงิน Fiat ยังเป็นที่ถูกใช้งานกันอย่างกว้างขวาง
4.ซื้อ-ขายผ่านแอป
หากเป็นคนที่เคยซื้อขายหุ้นหรือสินทรัพย์ประเภทอื่นอย่าง ทองคำ น้ำมัน หรือค่าเงินมาก่อน ก็น่าจะคุ้นเคยกับการใช้แอปพลิเคชั่นสำหรับการซื้อขายคริปโตเช่นกัน เพราะไม่ว่าจะเป็นการใช้กราฟวิเคราะห์ราคา การส่งคำสั่งซื้อ-ขาย การใช้ Indicators ต่างๆนั้นแทบจะเหมือนกันทุกระเบียดนิ้ว
ความแตกต่าง
เมื่อเข้าใจในพื้นฐานที่เหมือนกันของทั้ง 2 สินทรัพย์ เรามาดูกันว่าสิ่งที่แตกต่างกันมีอะไรบ้างและเหมาะกับนักลงทุนแบบไหน ดังต่อไปนี้
1.ความมั่นคง
หากลองเปรียบเทียบเรื่องของความผันผวนของราคาแล้ว นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญด้านการเก็งกำไรต่างยอมรับว่าคริปโตเคอร์เรนซีมีความผันผวนที่มากกว่าหุ้น
ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะการสร้างเหรียญคริปโตมีระยะเวลาที่สั้นกว่า เพราะความเป็น Open-source ของคริปโต ที่ใครก็ตามที่มีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมสามารถทำการคัดลอก Source Code และสร้างเป็นเครือข่าย Cryptocurrency ใหม่ขึ้นได้
ส่วนการที่จะเกิดหุ้นขึ้นมาตัวหนึ่ง จำเป็นต้องมีการยื่นเรื่องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ประเมินความเสี่ยง บริษัทที่จะสามารถเข้ามาในตลาดหุ้นได้ก็จำเป็นต้องมีชื่อเสียงและความมั่นคงที่สูงในระดับหนึ่งถึงจะได้รับการยอมรับ
2.เงินปันผล
การซื้อหุ้นก็เหมือนกับการนำเงินของเราไปให้บริษัทใช้ลงทุน หากประสบผลสำเร็จ บริษัทก็จะแบ่งผลกำไรให้กับผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนหุ้นที่ถือ หรือที่เรียกว่าเงินปันผล (Dividend)
แต่ในวงการคริปโต หากไม่ใช่การเก็งกำไรแล้ว การทำให้เหรียญที่มีงอกเงยสามารถทำได้โดยการขุด (Mining) สำหรับเครือข่ายคริปโตที่เป็นแบบ Proof-of-work เช่น Bitcoin, Dogecoinโดยต้องลงทุนเพิ่มไปกับเครื่องขุดและค่าไฟ หรืออีกวิธีหนึ่งที่เรียกว่าการ Stake เหรียญ สำหรับเครือข่ายแบบ Proof-of-Stake เช่น Ethereum, Polkadot โดยต้องทำการล็อคเหรียญ (Staking) ที่ถือครองจำนวนหนึ่งลงบนเครือข่ายและรอรับผลตอบแทนจากการเป็นผู้ตรวจสอบธุรกรรม
3.เวลาซื้อขาย
เนื่องจากหุ้นส่วนใหญ่มักจะสามารถซื้อขายได้เฉพาะช่วงที่ตลาดหุ้นเปิดทำการเท่านั้น บางที่อาจไม่สามารถซื้อขายได้ในวันเสาร์-อาทิตย์ และตลาดก็มักจะปิดทำการในวันหยุดประจำชาติ แม้หุ้นจะสามารถซื้อขายได้ 24 ชั่วโมงผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือ Futures แต่ช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวหนักๆก็มักจะเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดเปิดทำการเป็นส่วนมาก
ขณะที่คริปโตเคอร์เรนซีคือเครือข่ายที่ไม่มีตัวกลาง จึงไม่จำเป็นต้องรอให้คนใดคนหนึ่งเปิดให้บริการ การซื้อขายจึงเกิดขึ้นได้ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ และไม่มีวันหยุดใดๆเข้ามาเกี่ยวข้อง
4.ต้นทุนขั้นต่ำ
การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีมีต้นทุนขั้นต่ำที่ต่ำกว่าหุ้นอย่างมาก ยกตัวอย่าง Bitcoin นักลงทุนไม่จำเป็นต้องเริ่มซื้อขั้นต่ำที่ 1 Bitcoin (ราคาประมาณ 410,000 บาทต่อ 1 Bitcoin ข้อมูล ณ วันที่ 27 ตุลาคม 2020) แต่สามารถซื้อในหน่วยย่อยได้ถึง 0.00000001 Bitcoin หรือเรียกว่า 1 Satoshi (ประมาณ 0.004 บาท) ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละกระดานเทรด
ขณะที่หุ้นส่วนใหญ่ถูกกำหนดให้ซื้อขั้นต่ำที่ 100 หุ้น (ขึ้นอยู่กับนโยบายของโบรกเกอร์) สมมติว่า 1 หุ้นมีมูลค่าที่ 50 บาท เมื่อคูณมูลค่าของหุ้นและจำนวนหุ้นขั้นต่ำเท่ากับว่าการซื้อหุ้นต้องมีเงินทุนอย่างน้อย 5,000 บาทเลยทีเดียว
สรุป
ตามปัจจัยที่ยกมาด้านบน จะเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนว่าการลงทุนในคริปโตมีความเสี่ยงที่สูงกว่าการลงทุนในหุ้น และยังมีวิธีที่จะทำให้เงินที่ลงทุนนั้นงอกเงยแตกต่างกันค่อนข้างมาก โดยข้อดีและข้อเสียของการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์สามารถแบ่งออกเป็นข้อๆได้ตามนี้
หากมองอีกมุมหนึ่ง การที่คริปโตเคอร์เรนซีมีเหรียญใหม่ๆเกิดขึ้นบ่อยและราคามีความผันผวนที่สูงกว่าอาจเป็นโอกาสในการทำกำไรของนักลงทุนบางกลุ่ม แต่ก็ควรตระหนักเสมอว่าไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือคริปโต การลงทุนย่อมมีความเสี่ยงเสมอ ดังนั้นนักลงทุนต้องรู้จักประเมินกำลังทรัพย์ของตนให้ดี ศึกษาและทำความเข้าใจในสินทรัพย์นั้นๆก่อนจะตัดสินใจ
อ้างอิง: Provocome, Vocal.Media, The Balance, Hackernoon, Roninai
บทความ Bitkub Blog ที่คุณอาจสนใจ
อธิบาย Cryptocurrency ให้ผู้ใหญ่อย่างไรดีนะ?
ทำความเข้าใจ Bitcoin คืออะไร? ภายใน 3 นาที
อธิบาย Bitcoin การเงินแห่งอนาคต
Stablecoin คืออะไรและมีทั้งหมดกี่ประเภท?
===================
มาเรียนรู้เรื่อง บิตคอยน์ (Bitcoin) และ Cryptocurrency ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจโลกของคริปโทฯ ได้ดีขึ้น ที่ Bitkub Blog
หากคุณยังเป็นมือใหม่ ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในบทความ “แหล่งความรู้ มือใหม่หัดเทรดคริปโต เริ่มต้นที่นี่”
*คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
***ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีตหรือผลการดําเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทน ของสินทรัพย์ดิจิทัลหรือผลการดําเนินงานในอนาคต
ที่มา:
Medium