บทความ
มูลค่าของ Bitcoin และคริปโตมาจากไหนกันแน่ มาหาคำตอบกัน!
(Scroll down for English)
หลายคนที่เพิ่งเข้ามาในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีอาจเกิดคำถามว่าทำไมสกุลเงินดิจิทัลเหล่านี้ถึงมีมูลค่า และทำไมมูลค่าถึงเปลี่ยนแปลงตลอด 24 ชั่วโมง
หากจะตอบคำถามข้างบนแบบเร็ว ๆ ก็สามารถตอบได้ว่าเป็นเพราะอุปสงค์และอุปทาน หากมีคนอยากซื้ออยากขาย สินทรัพย์นั้นก็จะมีมูลค่าขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าไม่มีคนอยากซื้ออยากขายสินทรัพย์นั้นก็จะไร้มูลค่า นอกจากนี้ หากมีความต้องการซื้อมากกว่าความต้องการขาย (อุปสงค์มากกว่าอุปทาน) ราคาสินทรัพย์ก็สูงขึ้น แต่ถ้าความต้องการขายมากกว่าความต้องการซื้อ (อุปทานมากกว่าอุปสงค์) ราคาสินทรัพย์ก็จะลดลง
แล้วทีนี้ อะไรที่ทำให้ตลาดต้องการ Bitcoin หรือคริปโทเคอร์เรนซีกันล่ะ? สินทรัพย์เหล่านี้มีคุณสมบัติอะไรที่ทำให้เป็นที่ต้องการ มาหาคำตอบแบบเจาะลึกกันต่อได้ในบทความนี้เลย
Bitcoin คือเครื่องเก็บรักษามูลค่า
เริ่มกันที่พี่ใหญ่อย่าง Bitcoin กันก่อน โดยเครื่องเก็บรักษามูลค่า หรือ Store of Value ในที่นี้หมายถึงสินทรัพย์ที่สามารถคงมูลค่าของมันไว้ได้ และไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อในอนาคต
ตัวอย่างที่ดีที่สุดหากจะนำบิตคอยน์มาเปรียบเทียบในฐานะเครื่องเก็บรักษามูลค่าก็คือ “ทองคำ” นั่นเอง เนื่องจากทองคำและ Bitcoin มีคุณสมบัติที่คล้ายกันคือ
1.มีจำนวนจำกัด
ทั้ง Bitcoin และทองคำต่างมีจำนวนจำกัด โดย Bitcoin ถูกออกแบบมาให้มีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ ในขณะที่ทองคำ แม้จะยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด แต่สักวันหนึ่งทองคำก็จะถูกขุดขึ้นมาหมดทั้งโลกแน่นอน
คุณสมบัติข้อนี้แตกต่างจากเงิน Fiat หรือเงินสดที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งรัฐบาลหรือธนาคารกลางสามารถพิมพ์ออกมาได้อย่างไม่จำกัด ในอนาคตจะมีปริมาณเงิน Fiat เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสินทรัพย์อะไรก็ตามที่มีจำนวนมากเกินไป มูลค่าของมันก็จะลดน้อยลง หมายความว่าเงิน 100 บาทในมือเราวันนี้ จะมีมูลค่าต่ำกว่า 100 บาทในอนาคต
หากลองดูกราฟปริมาณเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะเห็นได้ว่าเงินดอลลาร์มีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะช่วงวิกฤต COVID-19 ที่เศรษฐกิจซบเซาจนรัฐบาลต้องพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นจำนวนมหาศาล ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในช่วงปี 2020 กระโดดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผู้คนเลือกถือเครื่องเก็บรักษามูลค่าอย่างทองคำและ Bitcoin เพื่อป้องกันผลกระทบจากเงินเฟ้อที่จะสามารถในอนาคตนั่นเอง
2.เป็นที่ยอมรับทั่วโลก
ในกรณีเดินทางไปต่างประเทศ หรือย้ายประเทศด้วยเหตุจำเป็น การนำเงินสดไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราของประเทศนั้น ๆ อาจจะถูกเก็บค่าธรรมเนียมได้ หรือถ้าประเทศเกิดวิกฤตเศรษฐกิจส่งผลให้มูลค่าเงินตราของประเทศตกต่ำลง การนำไปแลกเป็นอีกสกุลหนึ่งก็อาจจะได้มูลค่าที่น้อยกว่า แถมไม่มีอะไรมารับรองได้ด้วยว่าประเทศที่เราไปจะยอมแลกเงินสดที่เราถือ
ในทางกลับกัน การนำทองคำหรือ Bitcoin ไปแลกเปลี่ยนผ่านร้านค้าหรือ Exchange ในต่างประเทศสามารถทำได้อย่างง่ายดายและมีข้อจำกัดที่น้อยกว่า เนื่องจากทั้งทองคำและ Bitcoin ต่างเป็นที่ยอมรับทั่วโลกและใช้มาตรฐานเดียวกันนั่นเอง
ซึ่งในกรณีเดินทางไปต่างประเทศ Bitcoin อาจได้เปรียบกว่าทองคำ เพราะว่า Bitcoin สามารถพกพาได้ง่าย เพียงแค่จำรหัสกระเป๋า หรือ Private Key คุณก็สามารถเข้าถึง Bitcoin ได้จากทุกมุมโลกที่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต กลับกัน การพกทองคำไปต่างประเทศนอกจากจะลำบากแล้ว ยังอาจเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมได้อีกด้วย
แล้ว Altcoin มีมูลค่าได้อย่างไร?
หากจะอธิบายคริปโทเคอร์เรนซีทุกสกุลที่มีอยู่ในตลาด หรือ Altcoin ก็คงจะเยอะเกินไปหน่อย เพราะฉะนั้นเราจะยกตัวอย่างสกุลที่น่าสนใจเพื่อผู้อ่านสามารถเข้าใจภาพรวมได้ง่ายขึ้นแทน โดยสามารถแบ่งอธิบายเป็นหมวดหมู่ได้ดังนี้
1.เหรียญที่คล้าย Bitcoin
มาเริ่มกันที่เหรียญที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับ Bitcoin อย่าง Litecoin (LTC) และ Bitcoin Cash (BCH) ก่อน โดยเหล่านี้ได้นำเทคโนโลยีของ Bitcoin มาปรับปรุง เช่น ทำให้มีความเร็วมากขึ้น ปรับขนาดความจุของบล็อก ทำให้เป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น เป็นต้น ส่งผลให้ปัจจัยที่ขับเคลื่อนมูลค่ามีความใกล้เคียงกับ Bitcoin มาก แต่เนื่องจากทั้ง 2 เหรียญตัวอย่างนี้ยังไม่ได้รับการยอมรับมากเท่า Bitcoin มูลค่าโดยรวมจึงยังต่ำกว่านั่นเอง
2.เหรียญที่มี Smart Contract
เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังคริปโทเคอร์เรนซีเกือบทุกสกุลอย่างบล็อกเชน นอกจากจะทำให้การทำธุรกรรมข้ามประเทศมีความรวดเร็วมากขึ้นและลดค่าใช้จ่ายลงแล้ว บล็อกเชนยังถูกนำไปพัฒนาต่อยอดด้วยสิ่งที่เรียกว่า Smart Contract หรือ สัญญาอัจฉริยะ ซึ่งสามารถอธิบายง่าย ๆ ว่าเป็นการเขียนโปรแกรมให้สามารถทำงานบนบล็อกเชนได้นั่นเอง จึงทำให้บล็อกเชนทำได้มากกว่าการรับ-ส่งเงินดิจิทัลอย่างเดียว
ตัวอย่างที่ดีสุดสำหรับบล็อกเชนที่มี Smart Contract ก็คือเหรียญอันดับที่ 2 อย่าง Ethereum (ETH) รวมถึง Cardano (ADA), Polkadot (DOT), Solana (SOL), Avalanche (AVAX) เป็นต้น ซึ่งบล็อกเชนเหล่านี้เปรียบเสมือนระบบปฏิบัติการอย่าง Windows, iOS หรือ Android ที่แต่ละระบบปฏิบัติการมีจุดเด่นจุดด้อยต่างกันออกไป และมีการสร้างแอปพลิเคชันต่าง ๆ ขึ้นบนระบบปฎิบัติการเหล่านี้ โดยสำหรับบล็อกเชน แอปฯ เหล่านี้จะเรียกว่า Decentralized Application หรือ DApp ซึ่งก็มีหลากหลายรูปแบบ แต่ที่น่าจะคุ้นหู้กันดีก็จะเป็นพวก DeFi หรือ GameFi นั่นเอง
การที่จะสามารถใช้งานแอปฯ เหล่านี้ได้ ผู้ใช้ต้องมีเหรียญประจำเครือข่าย เช่น บน Ethereum ก็ต้องใช้เหรียญ Ether หรือบน Cardano ก็ต้องใช้เหรียญ ADA เป็นต้น เหรียญเหล่านี้เปรียบเสมือนน้ำมันหรือแก๊สที่ช่วยขับเคลื่อนเครือข่าย ดังนั้น มูลค่าของเหรียญเหล่านี้จึงมาจากความต้องการใช้แอปฯ ที่สร้างขึ้นบนเครือข่าย ยิ่งเครือข่ายมีการใช้งานมากเท่าไหร่ มูลค่าของเหรียญก็มักจะสูงขึ้นตามนั่นเอง
3.โทเคนเพื่อการใช้ประโยชน์
ต่อจากข้อด้านบน เมื่อมีการสร้างแอปพลิเคชันขึ้นบนบล็อกเชน หลาย ๆ ครั้งที่แอปพลิเคชันเหล่านี้จะออกโทเคนเพื่อใช้งานบนระบบของตัวเองตามมาด้วย หรือที่เรียกว่าโทเคนเพื่อการใช้ประโยชน์ (Utility Token)
โทเคนเหล่านี้มีหลากหลายสกุลมาก เยอะยิ่งกว่าเหรียญจาก 2 ข้อด้านบนเสียอีก โดยบน Bitkub โทเคนถือว่ามีสัดส่วนที่เยอะที่สุดเลยทีเดียว ยกตัวอย่างโทเคน UNI ที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้คู่กับแอปพลิเคชัน Uniswap หรือโทเคน MKR ที่ใช้ควบคู่กับแอปฯ Maker และโทเคนอื่น ๆ อีกมากมาย เป็นต้น
แต่ละโทเคนอาจมีคุณสมบัติต่างกันออกไป โทเคนนึงอาจมีจำนวนจำกัด อีกโทเคนอาจไม่มีการจำกัดจำนวน เป็นต้น แต่โดยทั่วไปแล้ว มูลค่าของโทเคนเหล่านี้มาจากความต้องการใช้งานแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้อง หากแอปฯ มีคนใช้งานมาก โทเคนก็จะมีมูลค่ามากขึ้น เพราะผู้คนอยากได้โทเคนไปใช้ประโยชน์ในแอปฯ นั่นเอง
4.Stablecoin
สำหรับคนที่ไม่ชอบความผันผวนของราคา เหรียญที่มีมูลค่าคงที่อย่าง Stablecoin อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะใช้เพื่อโอนมูลค่าให้กัน หรือจะใช้เพื่อเก็บรักษามูลค่าในระยะสั้นก็ได้เช่นนั้น โดยเหรียญในกลุ่มนี้ได้แก่ USDT, USDC และ DAI
Stablecoin สามารถรักษามูลค่าให้คงที่ได้ด้วย 2 วิธีหลัก ๆ วิธีแรกคือการนำไปผูกมูลค่ากับสินทรัพย์จริงในโลก เช่น USDT ที่ผูกมูลค่ากับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ USDT จึงมีมูลค่าใกล้เคียงกับเงินดอลลาร์แทบจะตลอดเวลา ขณะที่ผู้สร้าง USDT อย่างบริษัท Tether ก็ต้องเก็บเงินดอลลาร์ไว้ในคลังตามจำนวน USDT ที่มีอยู่ในโลก เพื่อหลักยืนยันว่า USDT แต่ละเหรียญมีเงินดอลลาร์หนุนอยู่ด้วยจริง
อีกวิธีคือการใช้ Smart Contract คอยควบคุมมูลค่าของเหรียญ อย่าง DAI ที่รักษามูลค่าผ่านการควบคุมจำนวนเหรียญที่มีอยู่ในระบบ (อุปทาน) ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมูลค่าของ DAI ต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ ระบบจะทำลายเหรียญ DAI ส่วนหนึ่ง เพื่อทำให้อุปทานลดลงและหนุนให้มูลค่ากลับมาเท่ากับ 1 ดอลลาร์ ในทางกลับกัน หากมูลค่า DAI สูงกว่า 1 ดอลลาร์ ระบบก็จะเพิ่ม DAI ลงสู่ตลาด เพื่อกดให้มูลค่ากลับลงมาเท่ากับ 1 ดอลลาร์
อนึ่ง แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเหรียญที่มีมูลค่าคงที่ แต่เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นเหรียญที่นำไปผูกมูลค่ากับสินทรัพย์อีกประเภทหนึ่ง ในกรณีที่มูลค่าของสินทรัพย์ที่ผูกมูลค่าด้วยเกิดผันผวน มูลค่าของ Stablecoin ก็อาจผันผวนตามได้เช่นกัน โดยเฉพาะคนไทยที่คุ้นเคยกับเงินบาท หากเงินดอลลาร์ผันผวน เราก็สามารถเห็นผลกระทบได้ค่อนข้างชัดเจนเลย นอกจากนี้ยังมี Stablecoin ที่ผูกมูลค่ากับสินทรัพย์อื่น ๆ อย่างเงินยูโร ทองคำ รวมถึงผูกมูลค่ากับคริปโทเคอร์เรนซีด้วยกันเองก็มีเช่นกัน
ผลกระทบจากการเก็งกำไร
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มีผลอย่างมากของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี และไม่กล่าวถึงไม่ได้ นั่นคือ การเก็งกำไร (Speculation) นั่นเอง
การเก็งกำไรหมายถึง การซื้อสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งและถือครองไว้ โดยหวังว่าจะมีมูลค่าสูงขึ้นในอนาคต จากนั้นจึงค่อยขายสินทรัพย์เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างของมูลค่า ซึ่งสามารถทำได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีถือว่าเป็นตลาดที่มีการเก็งกำไรสูงมาก เนื่องจากเครือข่ายคริปโทเคอร์เรนซีไม่มีการหยุดพักเหมือนกับตลาดหุ้น นั่นจึงทำให้มูลค่าของคริปโทฯ สามารถผันผวนได้ตลอด 24 ชั่วโมง ประกอบกับเพดานเงินต้นที่ต่ำกว่าตลาดหุ้น คนทั่วไปจึงสามารถเข้าถึงตลาดคริปโทฯ ได้ง่ายกว่ามาก
เมื่อคริปโทเคอร์เรนซีเริ่มเป็นที่รู้จักและยอมรับในโลกมากขึ้น นักลงทุนที่เข้ามาส่วนหนึ่งอาจไม่ได้ต้องการซื้อเหรียญเพื่อนำไปใช้งานจริง แต่ต้องการเข้ามาเก็งกำไรมากกว่า นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้มูลค่าของคริปโทฯ สามารถผันผวนได้อย่างมากภายในระยะเวลาสั้น ๆ มูลค่าอาจขึ้นและลงได้มากกว่า 20% ภายในชั่วข้ามคืน
สรุป
มูลค่าของคริปโทเคอร์เรนซีโดยพื้นฐานแล้วก็มาจากเรื่องของอุปสงค์-อุปทานเหมือนสินทรัพย์ทั่วไป ยิ่งมีคนต้องการใช้มากเท่าไหร่ มูลค่าของมันก็อาจสูงขึ้นได้มากเท่านั้น ในกลับกันหากไม่มีใครต้องการ มูลค่าก็อาจจะลดลงได้เช่นกัน
ทั้งนี้ทั้งนั้น ความต้องการคริปโทเคอร์เรนซีแต่ละสกุลอาจมาจากเหตุผลที่ต่างกันออกไป เช่น Bitcoin ที่ได้รับการยอมรับในฐานะเครื่องเก็บรักษามูลค่า (Store of Value) หรือ Ethereum ที่มีมูลค่ามาจากความต้องการใช้งานเครือข่ายเพื่อสร้างแอปพลิเคชันหรือการใช้งานอื่น ๆ เป็นต้น
และอีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็คือการเก็งกำไรที่มีผลทำให้ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูงมาก ดังนั้น ผู้ที่สนใจเข้ามาลงทุนจึงควรมีความรู้ความเข้าใจในสินทรัพย์ ใช้เงินเย็นหรือเงินที่สามารถเสียไปได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน วางแผนการลงทุนและบริหารความเสี่ยงอยู่เสมอ
อ้างอิง: Investopedia, Coindesk, Time
====================
Where Does the Value of Bitcoin and Cryptocurrency Come From? Let’s Find Out!
Many people who are new to the cryptocurrency market may ask why these cryptocurrencies are valuable, and why does the value change all the time?
To quickly answer the above question, it can be said that it is because of supply and demand. If someone wants to buy and sell the asset it will increase in value. On the other hand, if no one wants to buy and sell, the asset will be worthless. In addition, if demand is greater than supply, asset prices will rise, and when the supply is greater than the demand asset prices will decrease.
Now, why does the market want Bitcoin or cryptocurrencies? What qualities do these assets have that make them desirable? Let’s find out more in-depth answers in this article.
Bitcoin is a Store of Value
Let’s start with Bitcoin, the store of value here refers to an asset that can maintain its value and is not affected by inflation. The best example to compare bitcoin as a store of value is gold. Since gold and Bitcoin have similar properties, which are
1.Limited Supply
Both Bitcoin and Gold are limited, with Bitcoin being designed to be limited to 21 million BTC. For gold, the exact number is not yet known, but one day all the gold will be mined.
This feature is different from the fiat money we use today, which the government or central bank can print out unlimitedly. In the future, there will be a steady increase in the amount of fiat money. Any assets that are too many, their value will decrease. This means that 100 baht in our hands today will be worth less than 100 baht in the future.
If you look at the supply growth of the US dollar. It can be seen that the dollar’s supply increases every year. Especially during the COVID-19 pandemic, the economy is so sluggish that the government has to print a lot of money to stimulate the economy. As a result, the inflation rate in 2020 has clearly jumped. This is one of the reasons why people choose to hold store of value assets like gold and Bitcoin to protect against the possible effects of inflation in the future.
2.Accepted Worldwide
In the case of traveling abroad or relocating to another country, due to necessity the exchange of cash into the national currency may incur a fee. If a country has an economic crisis causing the country’s currency value to fall, exchanging them to another currency may result in lower value. Plus, there is nothing to guarantee that the country we go to will accept the cash we hold.
On the other hand, it is easier and less restrictive to exchange gold or Bitcoin through a merchant or exchange abroad. This is because both gold and Bitcoin are accepted all over the world and use the same standard.
In the case of traveling abroad, Bitcoin may have an advantage over gold because Bitcoin is easily portable. Just by remembering your password or Private Key to your wallet, you can access Bitcoin from any corner of the world that has an internet connection. Meanwhile, carrying gold around will risk drawing attention from the theft.
What About Altcoin’s Value?
To describe all the cryptocurrencies available in the market would be too much. Therefore, we will give an example of an interesting coin to make it easier for the reader to understand the overall picture. which can be divided into categories as follows
1.Coins that are Similar to Bitcoin
Let’s start with coins that have similar properties to Bitcoin, such as Litecoin (LTC) and Bitcoin Cash (BCH). These coins are built or improved upon Bitcoin technology such as adjusting the block capacity, making it more user-friendly,etc. Therefore, the value-driven factor is very close to Bitcoin, but since these two examples are not as widely accepted as Bitcoin, their overall value is still lower.
2.Coins with Smart Contracts
Blockchain, the technology behind almost all cryptocurrencies, in addition to making cross-border transactions faster and lower costs, blockchains are also being developed through what are known as Smart Contracts. This can be simply described as programming that can run on the blockchain. Thus, blockchain can do more than just send and receive digital money.
The best example of a blockchain with smart contracts would be the second coin: Ethereum (ETH), as well as Cardano (ADA), Polkadot (DOT), Solana (SOL), and Avalanche (AVAX). These blockchains are similar operating systems like Windows, iOS or Android, each operating system has different strengths and weaknesses. Various applications can be created on these operating systems. For blockchain, these apps are known as Decentralized Application or DApp, which has many utilities. However, the ones that are probably familiar to you would be DeFi or GameFi.
To be able to use these apps, the user needs to have a network coin, for example, on Ethereum, Ether is required, and on Cardano, ADA is required. These coins are like oil or gas that power the network. Therefore, the value of these coins comes from the need to use the app, created on the network. The more the network is used, the more the value of the coin tends to increase accordingly.
3.Utility Tokens
Continued from above when applications are built on the blockchain, many times these applications also issue tokens for use on their own systems, known as Utility Tokens.
These tokens come in a wide variety, much more than the coins from the above two categories. On Bitkub, tokens are considered to be the largest proportion. For example, UNI tokens are created for use with Uniswap applications, or MKR tokens used in conjunction with Maker apps and many other tokens.
Each token may have different properties. One token may be limited. While other tokens may not have a limited supply. Generally, the value of these tokens comes from the demand for the relevant application. The more popular the app, the more valuable the token, because people want tokens to use in the app itself.
4.Stablecoin
For those who do not like price fluctuations, stablecoin could be an interesting alternative. Stablecoin can be used to transfer value to each other or to store value in the short term. For example, USDT, USDC and DAI.
Stablecoin can maintain its value in two ways. The first way is by pegging its value to real-world assets, for example USDT is tethered to the U.S. dollar, so USDT is almost always equal to the dollar. While USDT creators like Tether have to keep dollars in the treasury for the amount of USDT in the world. To confirm that each USDT is actually backed by dollars.
Another method is to use smart contracts to control the value of the coin, for example DAI maintains its value through controlling the number of coins in the system (supply). When the value of the DAI is below $1, the system destroys a portion of the DAI coin to reduce the supply and bring the value back to $1. Conversely, if the value of the DAI is above $1, the system adds a DAI to the market to suppress the price, allowing the value to come back down to $1.
Despite being called a stable coin, most of them are coins that are associated with another asset class. In the event that the value of said asset fluctuates, the value of a stablecoin can also fluctuate accordingly. Especially Thai people who are familiar with the baht. If the dollar fluctuates, we can see the effect quite clearly. There are also stablecoins that are valued with other assets such as euros, gold, as well as cryptocurrencies.
The Effect of Speculation
Another important factor that has a huge impact on the cryptocurrency market is speculation.
Speculation means buying a particular asset and holding it with the hope that the value will increase in the future. The assets are then sold to make profit from the difference in value. This can be done both in the short and long term.
The cryptocurrency market is highly speculative. This is because the cryptocurrency network doesn’t have a break like the stock market. That makes the value of crypto fluctuate 24 hours a day, coupled with lower requirements to enter the market than the stock market. So, the general public can access the crypto market much easier.
As cryptocurrencies become more recognized and accepted in the world, some of the investors may not want to buy the coins for their actual use, but mainly to speculate. This is why the value of cryptocurrencies can fluctuate greatly within a short period of time, and its value can go up and down by more than 20% overnight.
Conclusion
The value of a cryptocurrency is basically related to supply-demand like any other asset. The more people want to use it, its value could be higher. On the other hand, if no one wants, the value may also be reduced.
However, the demand for individual cryptocurrencies can come for different reasons. Such as Bitcoin being recognized as a store of value or Ethereum being recognized from wanting to use the network to create applications, and other uses.
Another thing that is equally important is speculation that results in the cryptocurrency market being highly volatile. Therefore, those interested in investing should have a good understanding of the asset. Use money that can be spared without affecting everyday life. Always plan your investments and manage your risks.
Reference: Investopedia, Coindesk, Time
ที่มา:
Medium