บทความ

ข่าวรายสัปดาห์ 26 ก.ค. — 1 ส.ค. 68 : ETHA ของ BlackRock ขึ้นแท่น ETF ใหญ่สุดอันดับ 4 | ไม่มี Bitcoin Reserve ในรายงานทำเนียบขาว | อินโดนีเซียเตรียมขึ้นภาษีคริปโต ETHA ของ BlackRock กลายเป็น ETF ที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ตามมูลค่าเงินทุนไหลเข้า ได้รับแรงหนุนจากความสนใจของสถาบันที่เพิ่มขึ้นในประโยชน์ใช้สอยของ Ethereum ขณะเดียวกัน รายงานคริปโตล่าสุดของทำเนียบขาวได้สรุปกรอบการกำกับดูแลในวงกว้าง แต่ที่น่าสังเกตคือไม่ได้ระบุแผนที่เป็นรูปธรรมสำหรับ Bitcoin reserve ของประเทศ ในด้านองค์กร BTCS Inc. วางแผนระดมทุนมหาศาล 2,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อขยายการถือครอง Ethereum ในขณะที่ The Smarter Web Company บรรลุเป้าหมายการมี Bitcoin ในคลังถึง 2,000 BTC ด้วยการซื้อ Bitcoin จำนวนมาก ในทางตรงกันข้าม การดำเนินการด้านกฎระเบียบกำลังเข้มงวดขึ้นในบางภูมิภาคอย่าง แอลจีเรียได้ประกาศห้ามกิจกรรมคริปโตทั่วประเทศ โดยกำหนดบทลงโทษที่เข้มงวด และอินโดนีเซียเตรียมเพิ่มภาษีการทำธุรกรรมคริปโตสำหรับทั้งการแลกเปลี่ยนในประเทศและต่างประเทศ โดยเริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้ — — — — — — — — — — ETHA ของ BlackRock ขึ้นแท่น ETF ใหญ่สุดอันดับ 4 หลัง Ethereum ETF มีเงินไหลเข้าเป้า $10,000 ล้าน ETHA ของ BlackRock ซึ่งเป็น Spot Ethereum ETF ได้ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น ETF ที่ใหญ่ที่สุดอันดับสี่จากการไหลเข้าของเงินทุนในรอบ 30 วันที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากจำนวนเงินไหลเข้า 9,300 ล้านดอลลาร์ที่ไหลเข้าสู่กองทุน Ethereum ในเดือนกรกฎาคม การเพิ่มขึ้นนี้เป็นผลจากการไหลเข้าต่อเนื่อง 16 วัน โดย ETHA เพียงอย่างเดียวคิดเป็น 91% ของยอดรวมในเดือนกรกฎาคม ทางด้าน Eric Balchunas นักวิเคราะห์อาวุโสของ Bloomberg ชี้ว่าเงินทุนที่ไหลเข้าสู่ ETHA เกือบ 3,900 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นประมาณ 4% ของเงินทุนทั้งหมดที่ไหลเข้าสู่ ETF ในรอบ 30 วัน และยังติดอันดับ ETF ที่มีการซื้อขายมากที่สุดอันดับที่ 17 ตามปริมาณการซื้อขาย นักวิเคราะห์เชื่อว่าความสนใจที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากประโยชน์ใช้สอยที่เพิ่มขึ้นของ Ethereum ในการแปลงสินทรัพย์เป็นโทเคน (tokenization), Stablecoin และการชำระเงินบนเครือข่าย ทำให้เป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์สำหรับพอร์ตการลงทุนของสถาบัน ที่มา : CryptoSlate — — — — — — — — — — รายงานคริปโทฯ ของทำเนียบขาวขาดแผนปฏิบัติการ Bitcoin Reserve รายงานฉบับใหม่จากคณะทำงานด้านตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กำหนดกรอบการกำกับดูแลคริปโทเคอร์เรนซีในวงกว้าง แต่ที่น่าสังเกตคือ ไม่มีแผนปฏิบัติการสำหรับการสำรอง Bitcoin (Bitcoin Reserve) ของประเทศ แม้ว่าจะมีคำสั่งผู้บริหารในเดือนมีนาคมที่กำหนดให้มีการสำรองดังกล่าวอย่างเป็นทางการ แต่รายงานที่หลายฝ่ายตั้งตารอนี้ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดในการดำเนินการ ข้อเสนอแนะที่สำคัญในรายงานรวมถึงการสนับสนุน Stablecoin, การคัดค้านสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลางสหรัฐฯ (CBDCs) และเรียกร้องให้มีกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในการซื้อขายและการเก็บภาษีสินทรัพย์ดิจิทัล รายงานยังเน้นย้ำถึงการประสานงานระหว่าง SEC และ CFTC การส่งเสริม Regulatory Sandbox สำหรับนวัตกรรมทางการเงิน และการจัดการความสัมพันธ์ทางธนาคารสำหรับบริษัทคริปโต ที่มา : Crypto Briefing — — — — — — — — — — อินโดนีเซียเตรียมขึ้นภาษีการทำธุรกรรมคริปโต เริ่มสิงหาคมนี้ อินโดนีเซียเตรียมปรับขึ้นภาษีการทำธุรกรรมคริปโตเคอร์เรนซี โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมเป็นต้นไป รวมถึงการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญสำหรับการซื้อขายผ่านตลาดแลกเปลี่ยนต่างประเทศ ภาษีผู้ขายบนตลาดแลกเปลี่ยนคริปโตภายในประเทศจะเพิ่มขึ้นจาก 0.1% เป็น 0.21% ในขณะที่ตลาดแลกเปลี่ยนต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นจาก 0.2% เป็น 1% อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อจะไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อีกต่อไป ซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ที่ 0.11% ถึง 0.22% นอกจากนี้ อัตรา VAT สำหรับการดำเนินการขุดคริปโตจะเพิ่มขึ้นจาก 1.1% เป็น 2.2% และอัตราภาษีเงินได้พิเศษ 0.1% สำหรับกิจกรรมการขุดจะถูกยกเลิกในปี 2026 การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นในขณะที่ตลาดคริปโตของอินโดนีเซียยังคงดึงดูดความสนใจจากตลาดแลกเปลี่ยนในต่างประเทศ ที่มา : The Block — — — — — — — — — — บริษัท BTCS วางแผนระดมทุน $2,000 ล้าน เพื่อซื้อคริปโตเพิ่มเข้าในเงินสำรองของบริษัท BTCS Inc. บริษัทเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เน้น Ethereum มีแผนที่จะระดมทุนสูงถึง 2,000 ล้านดอลลาร์ผ่านการขายหุ้นเพื่อเป็นเงินทุนในการซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต ตามเอกสาร S-3 ที่ยื่นต่อ SEC ล่าสุด บริษัทตั้งใจที่จะนำเงินสุทธิไปใช้ในการซื้อคริปโทเคอร์เรนซี เป็นเงินทุนหมุนเวียน และวัตถุประสงค์ทั่วไปอื่นๆ ขององค์กร BTCS ซึ่งดำเนินกลยุทธ์ “Ethereum-first” ได้เพิ่มการถือครอง ETH เป็น 70,028 ETH (ประมาณ 265.3 ล้านดอลลาร์) หลังจากการซื้อ ETH จำนวน 14,240 ETH ครั้งล่าสุด การเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับแนวโน้มที่บริษัทต่างๆ สะสม Ethereum มากขึ้น โดยผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าคลัง Ethereum อาจมีศักยภาพในการสร้างผลกำไรที่สูงกว่าคลัง Bitcoin เนื่องจากผลตอบแทนจากการ Staking และการใช้ประโยชน์จาก DeFi ที่มา​ : The Block — — — — — — — — — — The Smarter Web Company บรรลุเป้าหมายการสะสม 2,000 BTC หลังซื้อ Bitcoin เพิ่มมูลค่า $27 ล้าน The Smarter Web Company บริษัทในสหราชอาณาจักรที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นการสะสม Bitcoin ได้ประกาศว่าได้ก้าวข้ามเป้าหมายหลักของการถือครอง Bitcoin 2,000 BTC หลังจากซื้อ Bitcoin เพิ่มอีก 225 BTC มูลค่าประมาณ 26.57 ล้านดอลลาร์ การซื้อครั้งล่าสุดนี้ทำให้ยอดรวมการถือครอง Bitcoin ของบริษัทอยู่ที่ 2,050 BTC มูลค่า 242 ล้านดอลลาร์ ตอกย้ำตำแหน่งในกลุ่มบริษัทมหาชนที่มีคลัง Bitcoin สูงสุด และเป็นผู้ถือครองรายใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร การสะสม Bitcoin อย่างรวดเร็วของบริษัท โดยมีการซื้อมากกว่า 1,500 BTC ในเดือนกรกฎาคมเพียงเดือนเดียว สะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าและซื้อ Bitcoin เพื่อสร้างมูลค่าผู้ถือหุ้นในระยะยาวและเป็นเงินทุนสำหรับการเติบโตในอนาคต ที่มา : The Block — — — — — — — — — — แอลจีเรียประกาศห้ามกิจกรรมคริปโตทั่วประเทศ พร้อมบทลงโทษที่รุนแรง แอลจีเรียได้ประกาศห้ามกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซีทั้งหมดอย่างเป็นทางการ ซึ่งรวมถึงการครอบครอง การซื้อขาย การขุด และการโปรโมท ภายใต้กฎหมายที่แก้ไขใหม่ ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม กฎหมายฉบับที่ 25–10 นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมสร้างระบบการเงินของแอลจีเรียจากการก่ออาชญากรรมและการก่อการร้าย โดยสอดคล้องกับมาตรฐานสากลที่กำหนดโดย Financial Action Task Force (FATF) การห้ามนี้จัดให้การใช้คริปโตเป็นอาชญากรรมทางการเงินภายใต้กฎหมายต่อต้านการฟอกเงินและการต่อต้านการก่อการร้าย ผู้กระทำผิดจะต้องเผชิญกับบทลงโทษที่รุนแรง รวมถึงการจำคุกตั้งแต่ 2 เดือนถึง 1 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 ถึง 1,000,000 ดีนาร์ (ประมาณ 1,540 ถึง 7,700 ดอลลาร์) โดยมีบทลงโทษที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ ที่มา : Crypto Briefing — — — — — — — — — — คำเตือน: -คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ -ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีตหรือผลการดําเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทน ของสินทรัพย์ดิจิทัลหรือผลการดําเนินงานในอนาคต — — — — — — — — — — หากคุณยังเป็นมือใหม่ ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในบทความ “แหล่งความรู้ มือใหม่หัดเทรดคริปโต เริ่มต้นที่นี่” แล้วมาเริ่มต้นเทรดได้วันนี้ที่ Bitkub Exchange → คลิกสมัครเลย — — — — — — — — — — Weekly News (26 Jul — 1 Aug 2025): BlackRock’s ETHA: Top 4 ETF | White House Crypto: No Bitcoin Reserve Plan | Indonesia: Crypto Tax Hike in August Global crypto news highlights a dynamic market as of late July 2025. BlackRock’s ETHA ETF is now a top performer, fueling Ethereum’s $10B July inflows, while the White House crypto report notably lacks a Bitcoin reserve plan. Companies like BTCS Inc. and The Smarter Web Company are significantly expanding their crypto treasuries. Conversely, Algeria has enacted a nationwide crypto ban with severe penalties, and Indonesia is increasing crypto transaction taxes next month. — — — — — — — — — — BlackRock’s ETHA Becomes 4th-Largest ETF as Ethereum Funds Target $10B Inflows BlackRock’s ETHA, a spot Ethereum ETF, has rapidly climbed to become the fourth-largest ETF by 30-day inflows, contributing significantly to the $9.3 billion in inflows for Ethereum funds in July. This surge marks 16 consecutive days of positive inflows, with ETHA alone accounting for 91% of July’s total. Bloomberg analyst Eric Balchunas highlighted that ETHA’s nearly $3.9 billion inflows represent about 4% of the total ETF inflows over the past 30 days and position it as the 17th-largest traded ETF by volume. Analysts attribute this growing interest to Ethereum’s increasing utility in tokenization, stablecoins, and on-chain settlement, making it a strategic asset for institutional portfolios. Source: CryptoSlate — — — — — — — — — — White House Crypto Report Lacks Actionable Bitcoin Reserve Plan A new report from President Donald Trump’s Working Group on Digital Asset Markets has outlined a broad regulatory framework for cryptocurrencies but notably omits an actionable plan for a national Bitcoin reserve. Despite an executive order in March that formally established such a reserve, the highly anticipated report did not provide implementation details. Key recommendations within the report include support for stablecoins, opposition to US Central Bank Digital Currencies (CBDCs), and calls for clearer regulatory frameworks in digital asset trading and taxation. The report also emphasizes coordination between the SEC and CFTC, promoting regulatory sandboxes for financial innovation, and addressing banking relationships for crypto firms. Source: Crypto Briefing — — — — — — — — — — Indonesia to Hike Crypto Transaction Taxes Starting August Indonesia is set to implement higher taxes on cryptocurrency transactions beginning August 1st, including a significant increase for trades conducted through foreign exchanges. The seller tax on domestic crypto exchanges will rise from 0.1% to 0.21%, while for foreign exchanges, it will jump from 0.2% to 1%. However, buyers will no longer be subject to value-added tax (VAT). Additionally, VAT rates for crypto mining operations will increase from 1.1% to 2.2%, and a special 0.1% income tax rate for mining activities will be eliminated in 2026. This move comes as Indonesia’s crypto market continues to attract interest from overseas exchanges. Source: The Block — — — — — — — — — — Ethereum Treasury Firm BTCS Plans $2 Billion Raise for Crypto Acquisitions BTCS Inc., an Ethereum-focused blockchain technology firm, intends to raise up to $2 billion through share sales to finance future digital asset purchases, according to a recent S-3 registration statement filed with the SEC. The company aims to use these proceeds for acquiring cryptocurrencies, general working capital, and other corporate purposes. BTCS, which follows an “Ethereum-first” strategy, recently increased its ETH holdings to 70,028 ETH (approximately $265.3 million) after a significant purchase of 14,240 ETH. This move aligns with a growing trend of companies accumulating Ethereum, with experts suggesting that ether treasuries may offer stronger upside potential than bitcoin treasuries due to staking rewards and DeFi leverage. Source: The Block — — — — — — — — — — The Smarter Web Company Reaches 2,000 BTC Treasury Milestone with $27 Million Bitcoin Purchase The Smarter Web Company, a UK-based firm transitioning to a bitcoin treasury-focused model, has announced surpassing the 2,000 BTC treasury milestone following a recent acquisition of 225 BTC for approximately $26.57 million. This latest purchase brings their total bitcoin holdings to 2,050 BTC, valued at $242 million, solidifying their position among the top public bitcoin treasury companies and making them the largest corporate holder in the UK. The company’s rapid accumulation of bitcoin, with over 1,500 BTC acquired in July alone, reflects its strategy to expand its client base and acquire bitcoin to deliver long-term shareholder value and fund future growth. Source: The Block — — — — — — — — — — Algeria Imposes Nationwide Crypto Ban with Strict Penalties Algeria has officially banned all cryptocurrency-related activities, including ownership, trading, mining, and promotion, under a recently amended law. Enacted on July 24, Law №25–10 aims to bolster Algeria’s financial system against crime and terrorism, aligning with international standards set by the Financial Action Task Force (FATF). The ban classifies crypto use as a financial crime under anti-money laundering and anti-terrorism laws. Violators face severe penalties, including imprisonment ranging from 2 months to 1 year and fines between 200,000 and 1,000,000 dinars ($1,540 to $7,700), with increased penalties for those involved in organized crime. Source: Crypto Briefing — — — — — — — — — — Disclaimer: - Cryptocurrency and digital tokens involve high risks; investors may lose all investment money and should study information carefully and make investments according to their own risk profile. -Past Returns does not guarantee future returns/performance. — — — — — — — — — — ข่าวรายสัปดาห์ 26 กรกฎา — 1 สิงหา: ETHA ของ BlackRock ขึ้นแท่นใหญ่สุดอันดับ4 | ไม่มี Bitcoin… was originally published in Bitkub.com on Medium, where people are continuing the conversation by highlighting and responding to this story.

30 กรกฎาคม 2568 เป็นวันครบรอบที่สำคัญ เป็นการครบรอบ 10 ปี นับตั้งแต่ Ethereum mainnet เปิดตัวครั้งแรก จากวิสัยทัศน์อันทะเยอทะยานที่จะเป็น “World Computer” Ethereumได้พัฒนาอย่างลึกซึ้งผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลายครั้ง จนกลายเป็นรากฐานที่สำคัญของโลก Web3 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จาก Proof-of-Work (PoW) สู่ Proof-of-Stake (PoS) การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Ethereum คือการเปลี่ยนผ่านจากกลไกฉันทามติแบบ Proof-of-Work (PoW) ไปสู่ Proof-of-Stake (PoS) เป็นการพัฒนาที่ใช้เวลาหลายปีกว่าจะถึงเป้าหมายด้วยการเป็น The Merge ในเดือนกันยายน 2565 นี่ไม่ใช่แค่การอัปเกรดทางเทคนิค แต่เป็นการเปลี่ยนปรัชญาโดยพื้นฐาน เปลี่ยนแปลงวิธีการรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย Ethereum สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจาก The Merge – ประสิทธิภาพด้านพลังงาน: The Merge ช่วยลดการใช้พลังงานของ Ethereum ลงได้กว่า 99.9% ตอบสนองข้อกังวลสำคัญเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของเทคโนโลยีบล็อกเชน และเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม – ความปลอดภัยและโอกาสในการเข้าร่วมที่เพิ่มขึ้น: การเปลี่ยนแปลงมาสู่ PoS ได้สร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจและการลงโทษ ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งของความปลอดภัยของเครือข่าย ทั้งยังเปิดโอกาสให้ใครก็ตามที่ยินดี Stake ETH เข้าร่วมในการตรวจสอบความถูกต้อง ทำให้การเข้าถึงเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นนอกเหนือจากฮาร์ดแวร์การขุดเฉพาะทาง หรือที่รู้จักกันในรูปแบบการขุดด้วย GPU – การอัปเกรด Shanghai/Capella ในเดือนเมษายน 2566 ได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งนี้ด้วยการเปิดใช้งานการถอน ETH ที่ Stake ไว้ เพิ่มความมั่นใจในกลุ่มที่ทำหน้าที่ Stake และปรับปรุงสภาพคล่องของตลาดสำหรับสินทรัพย์ที่ถูกล็อกไว้ ปฏิวัติค่าธรรมเนียมธุรกรรมด้วย EIP-1559 การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการอัปเกรด London Hard Fork ใน เดือนสิงหาคม 2564 ซึ่งได้นำเสนอ EIP-1559 นี่ไม่ใช่แค่การปรับค่าธรรมเนียม แต่เป็นการยกเครื่องตลาดค่าธรรมเนียมธุรกรรมของ Ethereum ทั้งหมด แทนที่จะเป็นระบบการเสนอราคาแบบง่ายๆ โดน EIP-1559 นำมาสู่ค่าธรรมเนียมพื้นฐาน (base fee) ซึ่งจะถูกเผา (นำออกจากระบบ) ในแต่ละธุรกรรม พร้อมกับ ค่าธรรมเนียมพิเศษ (priority fee) ที่เล็กกว่าและเป็นทางเลือกสำหรับผู้ตรวจสอบความถูกต้อง ความเปลี่ยนแปลงนี้นำมาสู่ประโยชน์หลายประการได้แก่ – ค่าธรรมเนียมที่คาดเดาได้ โดยผู้ใช้สามารถคาดการณ์ค่าใช้จ่ายของ gas ได้แม่นยำยิ่งขึ้น ทำให้การโต้ตอบกับแอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ (dApps) ราบรื่นและใช้งานง่ายขึ้น – ด้วยการเผาผลาญส่วนหนึ่งของค่าธรรมเนียมธุรกรรม EIP-1559 ได้นำกลไกเงินฝืดมาสู่ Ethereum โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เครือข่ายมีการใช้งานสูง ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการเป็น ultrasound money ด้านการปรับขนาดผ่าน Layer 2 แนวทางของ Ethereum ในการแก้ปัญหา blockchain trilemma ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ระหว่าง การกระจายอำนาจ, ความปลอดภัย และความสามารถในการปรับขนาด โดยความพยายามในการแก้ปัญหาเหล่านี้คือการออกแบบโมดูลาร์ แทนที่จะพยายามให้ mainnet (Layer 1) จัดการธุรกรรมทั้งหมดโดยตรง Ethereum ได้ใช้กลยุทธ์ rollup-centric โดยใช้ประโยชน์จากโซลูชัน Layer 2 (L2) ส่งผลนำไปสู่การอัปเกรดครั้งสำคัญในช่วงเวลาถัดมา ได้แก่ – การอัปเกรด Dencun ใน เดือนมีนาคม 2567 โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่าน Proto-Danksharding (EIP-4844) ได้แนะนำ “blobs” ซึ่งเป็นวิธีใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงและราคาถูกกว่ามากสำหรับ L2s ในการโพสต์ข้อมูลธุรกรรมที่ถูกบีบอัดกลับไปยัง mainnet ผลลัพธ์คือค่าธรรมเนียมธุรกรรมที่ลดลงอย่างมากบน L2s ยอดนิยม เช่น Arbitrum, Optimism และ Base ทำให้ dApps เข้าถึงผู้ชมทั่วโลกได้ง่ายขึ้นมาก – การอัปเกรด Pectra ใน เดือนพฤษภาคม 2568 ต่อยอดจากความสำเร็จนี้โดยการเพิ่มปริมาณของ blob เป็นสองเท่า และวางรากฐานสำคัญสำหรับ account abstraction (EIP-7702) คุณสมบัติที่ก้าวล้ำนี้สัญญาว่าจะทำให้กระเป๋าเงินคริปโตใช้งานง่ายและเป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น ช่วยให้สามารถชำระค่า gas ด้วยโทเคนใดก็ได้ หรือการกู้คืนบัญชีที่ง่ายขึ้น สถาปัตยกรรมหลายชั้นนี้ช่วยแก้ปัญหา trilemma ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการทำงาน Layer 1 ของ Ethereum ยังคงมีการกระจายอำนาจและความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง ทำหน้าที่เป็นชั้นการชำระบัญชีและชั้นข้อมูลที่ปลอดภัย ในขณะที่ Layer 2s มอบความสามารถในการปรับขนาดที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยสืบทอดด้านความปลอดภัยหลักของ mainnet หนึ่งทศวรรษแห่งการเติบโตของระบบนิเวศและอนาคตอันใกล้ นอกเหนือจากการพัฒนาโปรโตคอลหลักแล้ว ระบบนิเวศของ Ethereum ยังได้เติบโตอย่างรวดเร็วกลายเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีชีวิตชีวา ไม่จะเป็นเรื่อง การเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) เป็นโปรโตคอล สำหรับการให้กู้ยืม การแลกเปลี่ยนแบบกระจายอำนาจ และ Stablecoin, แพลตฟอร์มที่โดดเด่นสำหรับ NFT ในการเป็นเจ้าของดิจิทัลในงานศิลปะ เกม และของสะสม, การทำงานด้วย DAOs เปิดใช้งานการกำกับดูแลร่วมกันและการตัดสินใจแบบกระจายอำนาจ นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของการแปลงสินทรัพย์ในโลกแห่งความเป็นจริงเป็นโทเคน (RWA tokenization) บน Ethereum ซึ่งเชื่อมโยงการเงินแบบดั้งเดิมเข้ากับบล็อกเชน และ การนำไปใช้โดยสถาบัน ของ ETH ที่เพิ่มขึ้นในฐานะสินทรัพย์คงคลัง ซึ่งเห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของ Ethereum ETF ในขณะที่ Ethereum ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่สอง ความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องต่อนวัตกรรม ความยั่งยืน และประสบการณ์ผู้ใช้ ทำให้มันอยู่ในแถวหน้าของการปฏิวัติแบบกระจายอำนาจพร้อมที่จะนำผู้ใช้พันล้านคนถัดไปเข้าสู่ Web3 ที่มา: Consensys — — — — — — — — — — — — — — — — — หากคุณยังเป็นมือใหม่ ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในบทความ “แหล่งความรู้ มือใหม่หัดเทรดคริปโต เริ่มต้นที่นี่” แล้วมาเริ่มต้นเทรดได้วันนี้ที่ Bitkub Exchange → คลิกสมัครเลย — — — — — — — — — — — — — — — — — ​​- คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ — — — — — — — — — — — — — — — — — Ethereum’s Decade: How 10 Years of Innovation Scaled the World Computer for Web3 Today, July 30, 2025, marks a monumental milestone: the 10-year anniversary of the Ethereum mainnet’s launch. What began as an ambitious vision for a “World Computer” has evolved into the foundational layer of the decentralized web, undergoing a series of profound transformations that have reshaped the digital landscape. The Great Transformation: From PoW to PoS Perhaps the most significant shift in Ethereum’s history was its arduous but successful journey from Proof-of-Work (PoW) to Proof-of-Stake (PoS). This multi-year endeavor culminated in The Merge in September 2022. This was more than just a technical upgrade; it was a philosophical pivot, fundamentally altering how Ethereum secures its network. The impact was immediate and profound: – Environmental Sustainability: The Merge dramatically reduced Ethereum’s energy consumption by over 99.9%, addressing a major criticism of blockchain technology and positioning it as a greener alternative. – Enhanced Security & Participation: PoS introduced economic incentives and penalties, strengthening network security. It also opened up validator participation to anyone willing to stake ETH, democratizing access beyond specialized mining hardware. – The Shanghai/Capella upgrade in April 2023 further solidified this by enabling the withdrawal of staked ETH, boosting confidence among stakers and improving market liquidity for locked assets. Revolutionizing Transaction Costs: The Impact of EIP-1559 Another pivotal change came with the London Hard Fork in August 2021, which introduced EIP-1559. This wasn’t just a fee adjustment; it was a complete overhaul of Ethereum’s transaction fee market. Instead of a simple bidding system, EIP-1559 introduced a base fee that is burned (removed from circulation) with each transaction, alongside a smaller, optional priority fee for validators. This innovation brought several key benefits: – Predictable Fees: Users experienced much greater predictability in gas costs, making interactions with decentralized applications (dApps) smoother and more user-friendly. – Deflationary Pressure: By burning a portion of the transaction fees, EIP-1559 introduced a deflationary mechanism for ETH, particularly during periods of high network activity, significantly contributing to its “ultrasound money” narrative. Solving the Scalability Puzzle: The Layer 2 Revolution Ethereum’s approach to the blockchain trilemma — the inherent trade-off between decentralization, security, and scalability — has been a masterclass in modular design. Instead of attempting to make the mainnet (Layer 1) handle all transactions directly, Ethereum embraced a rollup-centric roadmap, leveraging Layer 2 (L2) scaling solutions. Recent critical upgrades underscore this strategy: – The Dencun upgrade in March 2024, particularly through Proto-Danksharding (EIP-4844), introduced “blobs.” These are a new, highly efficient, and significantly cheaper way for L2s to post compressed transaction data back to the mainnet. The result? Drastically reduced transaction costs on popular L2s like Arbitrum, Optimism, and Base, making dApps far more accessible to a global audience. – The upcoming Pectra upgrade (scheduled for May 2025) builds on this momentum. It further enhances L2 scalability by doubling blob throughput and lays crucial groundwork for account abstraction (EIP-7702). This groundbreaking feature promises to make crypto wallets feel more intuitive and user-friendly, enabling seamless experiences like paying gas in any token or easily recovering accounts. This multi-layered architecture effectively addresses the trilemma: Ethereum’s Layer 1 maintains robust decentralization and security, acting as the secure settlement and data availability layer, while Layer 2s deliver the much-needed scalability, inheriting the core security guarantees of the mainnet. A Decade of Ecosystem Growth and Future Horizons Beyond the core protocol advancements, Ethereum’s ecosystem has flourished into a vibrant digital economy. It remains the undisputed leader for: – Decentralized Finance (DeFi): Powering countless protocols for lending, borrowing, decentralized exchanges, and stablecoins. – Non-Fungible Tokens (NFTs): The dominant platform for digital ownership in art, gaming, and collectibles. – Decentralized Autonomous Organizations (DAOs): Enabling collective governance and decentralized decision-making. Furthermore, there’s a growing trend of Real-World Asset (RWA) tokenization on Ethereum, bridging traditional finance with blockchain, and increasing institutional adoption of ETH as a treasury asset, evidenced by the rise of Ethereum ETFs. As Ethereum embarks on its second decade, its continuous commitment to innovation, sustainability, and user experience positions it firmly at the forefront of the decentralized revolution, ready to onboard the next billion users into Web3. Source: Consensys — — — — — — — — — — — — — — — — — New to crypto? Learn the ropes with our beginner’s guide, ‘Crypto Knowledge for beginners’. When you’re ready, take the next step and start trading today at Bitkub Exchange. Click here to apply! — — — — — — — — — — — — — — — — — Disclaimer: — Cryptocurrency and digital tokens involve high risks; investors may lose all investment money and should study information carefully and make investments according to their own risk profile. “1 ทศวรรษ” Ethereum Mainnet นวัตกรรมที่ยกระดับ “World Computer” สู่ยุค Web3 was originally published in Bitkub.com on Medium, where people are continuing the conversation by highlighting and responding to this story.

Bitkub Exchange และ Bitkub Academy ประกาศความร่วมมือกับ Ledger ยกระดับความปลอดภัยสินทรัพย์ดิจิทัลให้คนไทย เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ผู้ให้บริการ Bitkub Exchange ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำในไทย และบริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด ผู้ให้บริการ Bitkub Academy ศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล ประกาศความร่วมมือกับ Ledger ผู้นำระดับโลกด้านการดูแลความปลอดภัยของสินทรัพย์ดิจิทัลให้กับผู้ใช้งานทั่วไปและระดับอุตสาหกรรม โดยมีสินทรัพย์ดิจิทัลกว่า 20% ทั่วโลกที่อยู่ภายใต้ระบบรักษาความปลอดภัยของ Ledger ความร่วมมือดังกล่าวมุ่งเน้นการให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของระบบการรักษาความปลอดภัยของสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับสากล ซึ่งในปี 2566 มีมูลค่าความเสียหายจากการถูกแฮกและการหลอกลวงในโลกบล็อกเชนสูงถึงกว่า 14,000 ล้านดอลลาร์ ความร่วมมือนี้จะมุ่งยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย โดยเฉพาะการเสริมส้รางความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้งาน Hardware Wallet ให้กับผู้ใช้งานในไทย คุณสุชาติ ภวสิริพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด กล่าวว่า “ความร่วมมือระหว่าง Bitkub Academy และ Ledger นี้ จะช่วยเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้งาน Hardware Wallet ให้ผู้ใช้งานในไทยได้มีทางเลือกในการเก็บรักษาดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลของตนเองที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะ Hardware Wallet ของ Ledger ที่มีผู้ใช้งานกว่า 180 ประเทศทั่วโลก ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานมีความมั่นใจในการเก็บรักษาและจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลผ่าน Hardware Wallet.” คุณอรรถกฤต ชิมผลาพิบูลย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด กล่าวเสริมว่า “Bitkub Exchange ในฐานะศูนย์ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของไทย ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. เรามีความตั้งใจที่จะช่วยเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในโลกสินทรัพย์ดิจิทัลให้แก่คนไทย โดยการผลักดันความร่วมมือกับ Ledger ในครั้งนี้ จะช่วยเปิดโอกาสให้คนไทยมีทางเลือกในการใช้งานเทคโนโลยีบล็อกเชนที่หลากหลาย รวมถึงการรักษาความปลอดภัยของสินทรัพย์ดิจิทัลผ่าน Hardware Wallet” คุณ Ariel Wengroff รองประธานบริหารฝ่ายการตลาด Ledger กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลสูงที่สุดในโลก ซึ่ง Ledger มีระบบรักษาความปลอดภัยเชิงรุกที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลมากที่สุดในโลกอย่าง Ledger Donjon เราเชื่อว่าจะสามารถช่วยสร้างปลอดภัยและความมั่นใจของผู้ใช้งานในไทยได้เป็นอย่างดี” คำเตือน คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ — — — — — — — — — — — — Bitkub Exchange and Bitkub Academy Announce a Collaboration with Ledger to Join Forces to Strengthen Crypto Education in Thailand Bangkok, Thailand — 30 July, 2025 — Bitkub Online Co., Ltd., the operator of Bitkub Exchange, a leading digital asset exchange in Thailand, Bitkub Labs Co., Ltd., the operator of Bitkub Academy, announce its collaboration with Ledger, the world leader in digital asset security for consumers and enterprises. The project will roll out comprehensive security awareness on a national level to uplift cybersecurity standards in crypto and provide widespread education on hardware wallets, self custody practices, and cyber threat recognition. This content will be available through the Bitkub Academy and integrated into Bitkub Exchange’s user onboarding process. Suchart Pavasiriporn, Chief Executive Officer of Bitkub Labs Co., Ltd. stated, “Partnering with Ledger will enable us to access knowledge and security of hardware wallets. Ledger, as one of the largest security providers in the industry, will play an important role in introducing solutions and guiding holders through this journey with Bitkub Academy. By teaching people how to protect their digital wealth, we will be able to build sustainable participation and advance Thailand to be the center of excellence for secure digital asset management”. Thailand’s digital asset market has seen huge adoption with 1 in 5 Thai citizens estimated to own crypto assets, and is projected to see revenues reach $805.1m in 2026 with an annual growth rate of 1.45% from $793.6m in 2025. This initiative comes at a pivotal time with Thailand recently passing a five-year crypto tax exemption, signaling strong institutional support and the importance of individual security education. Atthakrit Chimplapibul, Chief Executive Officer of Bitkub Online Co., Ltd., said “Bitkub Exchange, as Thailand’s leading digital assets exchange platform, regulated by the Thai SEC, continues to aim to empower the community with essential education. This collaboration will enable users to self custody their digital assets through leading hardware wallet products, proven to be of international standards from users worldwide”. Additionally, the collaboration will also drive community safety initiatives and local events with demonstrations of Ledger devices and practical security training tailored to the common cyber threats facing Thai holders. With Ledger’s track record of securing over 20% of the world’s crypto assets through more than 7.5 million devices sold across 180 countries, the collaboration brings institutional-grade security expertise to Thailand’s retail crypto market. Ariel Wengroff, EVP of Marketing and Communications at Ledger, said “Thailand represents one of the most dynamic crypto markets in the world right now. At Ledger, we’ve seen firsthand how important security education can transform a user’s confidence and market maturity. As Thailand continues to establish itself as a global crypto hub, it is paramount that this growth is built on a foundation of uncompromising security and wide self custody education”. Bitkub Exchange, regulated by Thailand’s Securities and Exchange Commission (SEC), serves as a gateway for users entering the crypto space, while Bitkub Academy has established itself as the country’s premier blockchain education center. Ledger, brings its extensive security ecosystem from hardware wallets to the Ledger Live app, backed by its inhouse team of white-hat hackers, the Ledger Donjon. About Ledger Celebrating its 10 year anniversary in 2024, Ledger is the world leader in Digital Asset security for consumers and enterprises. Ledger offers connected devices and platforms, with more than 7.5M devices sold to consumers in 180 countries and 10+ languages, 100+ financial institutions and commercial brands. Over 20% of the world’s crypto assets are secured by Ledger. Ledger is the digital asset solution secure by design. The world’s most internationally respected offensive security team, Ledger Donjon, is relied upon as a crucial resource for securing the world of Digital Assets. With over 14 billion dollars hacked, scammed or mismanaged in 2023 alone, Ledger’s security brings peace of mind and uncompromising self-custody to its community. Disclaimer: Cryptocurrency and digital tokens involve high risks; investors may lose all investment money and should study information carefully and make investments according to their own risk profile. Bitkub Exchange และ Bitkub Academy ประกาศความร่วมมือกับ Ledger… was originally published in Bitkub.com on Medium, where people are continuing the conversation by highlighting and responding to this story.

ในโลกที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วของ Decentralized Finance (DeFi) ความสามารถในการปรับขนาด (scalability) และสภาพคล่อง (liquidity) ยังคงเป็นสิ่งสำคัญและเป็นแนวทางที่นักพัฒนาพยายามพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดย Solayer ได้ถูกพัฒนาให้เป็น บล็อกเชน Layer-2 สุดล้ำที่สร้างขึ้นบนเครือข่าย Solana มีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมศักยภาพและปลดล็อกการใช้งานที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับสินทรัพย์พื้นฐานอย่าง SOL Solayer คืออะไร? Solayer คือ บล็อกเชน Layer-2 ที่สร้างขึ้นบน Solana วัตถุประสงค์หลักคือเพื่อ เพิ่มความสามารถในการปรับขนาด (scalability) และสภาพคล่อง (liquidity) ของเครือข่าย Solana โดยพื้นฐานแล้ว Solayer ทำงานเป็น โปรโตคอล restaking ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ บน Solana ช่วยให้ผู้ใช้สามารถฝากโทเคน SOL หรือโทเคน Liquid Staking (LSTs) ที่อิงตาม Solana เช่น mSOL และ JitoSOL เพื่อแลกเปลี่ยนกับการรับ sSOL ซึ่งเป็นโทเคน liquid restaking ที่สามารถนำไปใช้ในแอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ (dApps) และLiquid Restaking Token (LRTs) ต่างๆ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเงินทุนได้อย่างมาก หัวใจสำคัญทางเทคโนโลยีของ Solayer คือ สถาปัตยกรรม InfiniSVM เครือข่ายบล็อกเชนที่ทำงานด้วยฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่นี้มีเป้าหมายที่จะผลักดันประสิทธิภาพไปสู่ขีดจำกัดสูงสุด ด้วยการใช้ประโยชน์จาก Infiniband RDMA สำหรับการสื่อสารระหว่างโหนดที่เกือบจะถึงระดับไมโครวินาที และกลยุทธ์การควบคุมการทำงานพร้อมกันขั้นสูง โดย InfiniSVM ตั้งเป้าหมายไปที่ 1 ล้าน+ ธุรกรรมต่อวินาที (TPS) และแบนด์วิดธ์เครือข่าย 100Gbps+ แนวทางปฏิวัติวงการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อถ่ายโอนส่วนประกอบบล็อกเชนไปยังชิปที่ตั้งโปรแกรมได้ ทำให้ dApps สามารถรองรับปริมาณงานที่สูงมากและมีเวลาแฝง (latency) ที่เกือบเป็นศูนย์ Solayer ทำงานผ่านองค์ประกอบหลักสามส่วน: Restaking Pool Manager (จัดการการฝากและออก sSOL), Delegation Manager (จัดสรร sSOL ไปยัง Active Verification Services หรือ AVSs ต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่ากลไกฉันทามติทำงานได้อย่างราบรื่น) และ Reward Accounting Unit (คำนวณรางวัลของผู้ใช้ตามกิจกรรมการ staking) คุณสมบัติโดดเด่นของ Solayer –Universal Liquidity Layer: ทำหน้าที่เป็นเลเยอร์สภาพคล่อง ช่วยให้ SOL ทุกหน่วยสามารถมีส่วนร่วมกับแบนด์วิดธ์และความปลอดภัยของเครือข่าย โดยพื้นฐานแล้วคือการ “เช่า” SOL ให้กับ dApps –การมุ่งเน้น AVS ภายใน: Solayer ให้ความสำคัญกับ AVS “ภายใน” ซึ่งหมายความว่าจะช่วยเพิ่มบริการและโปรโตคอลที่อยู่บนเครือข่าย Solana รวมถึง Solana Layer 2s, โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์แบบกระจายอำนาจ และ dApps ที่เป็น Solana ดั้งเดิม –Stablecoin sUSD: sUSD เป็น stablecoin ของ Solana ที่หนุนด้วยสินทรัพย์ในโลกจริง (RWA) โดยผูกกับเงินดอลลาร์สหรัฐและนำเสนอโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่เชื่อมโยงกับ U.S. Treasury Bills ทำให้มีกระแสรายได้ที่มั่นคงและไม่เหมือนใคร –ความสามารถในการทำงานร่วมกันข้ามเชน (Cross-chain): Solayer มีแนวคิดเรื่องการถ่ายโอนสินทรัพย์และสภาพคล่องระหว่างบล็อกเชนหลักๆ เช่น Ethereum, Solana และ Binance Smart Chain ได้อย่างราบรื่น โดยมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนการซื้อขายและเพิ่มประสิทธิภาพของเงินทุน –Solayer Travel (Emerald Card): ข้อเสนอที่ไม่เหมือนใคร Solayer Travel มอบแพลตฟอร์มการจองการเดินทางสุดพิเศษสำหรับผู้ถือบัตร Emerald Card ซึ่งช่วยให้ได้รับส่วนลดในการเดินทางทั่วโลกโดยใช้ยอดคงเหลือในเชน โทเคน LAYER คืออะไร? โทเคน LAYER เป็น Utility และ Governance Token ของระบบนิเวศ Solayer ซึ่งสร้างขึ้นบนบล็อกเชน Solana การใช้งานที่หลากหลายทั้งยังเป็นรากฐานของโปรโตคอลทั้งหมด ประกอบด้วย — การกำกับดูแล: ผู้ถือ LAYER มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการกำกับดูแลแบบกระจายอำนาจ โดยการลงคะแนนในการอัปเกรดโปรโตคอลที่สำคัญ การจัดการคลัง และความคิดริเริ่มของระบบนิเวศ — การ Staking และรางวัล: ผู้ใช้สามารถ stake LAYER เพื่อช่วยรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายและรับรางวัล ซึ่งเป็นการจูงใจให้มีส่วนร่วมในระยะยาว — ค่าธรรมเนียมเครือข่าย: LAYER ใช้เพื่อชำระค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมบนเครือข่าย Solayer และสำหรับการทำธุรกรรมข้ามเครือข่ายภายใน dApps ผ่าน Solayer — การจัดหาสภาพคล่อง: ผู้ถือสามารถจัดหาสภาพคล่องให้กับ Pool ต่างๆ โดยรับแรงจูงใจและเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานของเครือข่าย — แรงจูงใจของระบบนิเวศ: โทเคน LAYER ถูกแจกจ่ายผ่าน airdrops และรางวัลอื่นๆ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนและดึงดูดผู้เข้าร่วมใหม่ การจัดสรรโทเคนและ Tokenomics โทเคน LAYER มีอุปทานรวม 1,000,000,000 โทเคน กลยุทธ์การจัดจำหน่ายได้รับการออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการเติบโตของชุมชนและการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีการแจกจ่ายโทเคนดังนี้ – ชุมชนและระบบนิเวศ 51.23% มุ่งเน้นไปที่การวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โปรแกรมสำหรับนักพัฒนา การเติบโตของระบบนิเวศ และแรงจูงใจของชุมชน รวมถึง “Genesis Drops” ที่อาจเกิดขึ้นสำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน – ผู้ร่วมก่อตั้งหลักและที่ปรึกษา 17.11% ถูกจัดสรรให้กับทีมหลักและที่ปรึกษาที่ขับเคลื่อนการพัฒนาและทิศทางเชิงกลยุทธ์ของโครงการ – นักลงทุน 16.66% ถูกสงวนไว้สำหรับนักลงทุนที่ให้เงินทุนสนับสนุนการเติบโตของ Solayer – Solayer Foundation 15% มุ่งมั่นที่จะขยายผลิตภัณฑ์ในแนวตั้งและการพัฒนาเครือข่าย เพื่อให้มั่นใจถึงความสามารถในการปรับตัวและการรวมคุณสมบัติในอนาคต มีการใช้ตารางการ vesting ในการจัดสรรที่แตกต่างกัน (เช่น โทเค็นของทีมและนักลงทุนมีระยะเวลาล็อคตามด้วยการปลดล็อกเชิงเส้น) เพื่อให้มั่นใจถึงความสอดคล้องในระยะยาวและป้องกันการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างกะทันหัน Tokenomics ของ LAYER ถูกสร้างขึ้นเพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน รักษาสมดุลอุปสงค์และอุปทานที่ดี และสนับสนุนความยั่งยืนของโปรโตคอล ผู้ก่อตั้ง Solayer Solayer ก่อตั้งโดย Rachel Chu, Jason Li และ Joshua Sum ความเชี่ยวชาญและวิสัยทัศน์ของพวกเขามีบทบาทสำคัญในการกำหนดแนวทางที่เป็นนวัตกรรมของ Solayer เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของ Solana นอกจากนี้ ทีมงานยังประกอบด้วยบุคคลสำคัญเช่น Joshua Sum (หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์) และโครงการได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนและที่ปรึกษาที่มีชื่อเสียงในวงการคริปโต ข้อมูลน่าสนใจด้านราคาของ Solayer ข้อมูลจากเว็บไซต์ Coinmarketcap เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2025 เหรียญ LAYER มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market cap) ที่ 144,479,398 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4,678,095,830 บาท ณ เวลาที่เขียนบทความนี้ เหรียญ LAYER ซื้อขายกันอยู่ที่ราคาประมาณ 0.6879 ดอลลาร์ หรือประมาณ 22.26 บาทต่อ 1 LAYER โดย LAYER เคยทำราคาสูงสุด (All-time high) ที่ 3.40 ดอลลาร์ หรือประมาณ 109.98 บาท ต่อ 1 LAYER เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2025 อ้างอิง: Solayer Documentation, CoinMarketCap — — — — — — — — — — — — — — — — — หากคุณยังเป็นมือใหม่ ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในบทความ “แหล่งความรู้ มือใหม่หัดเทรดคริปโต เริ่มต้นที่นี่” แล้วมาเริ่มต้นเทรดได้วันนี้ที่ Bitkub Exchange → คลิกสมัครเลย — — — — — — — — — — — — — — — — — ​​- คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ - ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีตหรือผลการดําเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทน ของสินทรัพย์ดิจิทัลหรือผลการดําเนินงานในอนาคต — — — — — — — — — — — — — — — — — LAYER Token from Solayer: A Layer-2 Blockchain on the Solana Network In the rapidly evolving world of Decentralized Finance (DeFi), scalability and liquidity remain paramount, continuously driving developers to innovate. Solayer has emerged as a groundbreaking Layer-2 blockchain built on the Solana network, aiming to enhance and unlock unprecedented use cases for underlying assets like SOL. What is Solayer? Solayer is a Layer-2 blockchain constructed on Solana. Its primary objective is to boost the scalability and liquidity of the Solana network. Essentially, Solayer functions as an innovative restaking protocol on Solana, allowing users to deposit SOL tokens or Solana-based Liquid Staking Tokens (LSTs) such as mSOL and JitoSOL. In exchange, users receive sSOL, a liquid restaking token that can be utilized across various decentralized applications (dApps) and Liquid Restaking Tokens (LRTs), significantly optimizing capital efficiency. At the technological heart of Solayer lies the InfiniSVM architecture. This new generation, hardware-accelerated blockchain network aims to push performance to its absolute limits. By leveraging Infiniband RDMA for near-microsecond inter-node communication and advanced concurrency control strategies, InfiniSVM targets 1 million+ transactions per second (TPS) and 100Gbps+ network bandwidth. This revolutionary approach aims to offload blockchain components to programmable chips, enabling dApps to handle extremely high workloads with near-zero latency. Solayer operates through three core components: the Restaking Pool Manager (manages sSOL deposits and withdrawals), the Delegation Manager (allocates sSOL to various Active Verification Services or AVSs to ensure smooth consensus mechanisms), and the Reward Accounting Unit (calculates user rewards based on staking activity). Solayer’s Prominent Features Solayer boasts several standout features: — Universal Liquidity Layer: It acts as a liquidity layer, allowing every unit of SOL to contribute to network bandwidth and security. This is essentially “renting” SOL to dApps. — Internal AVS Focus: Solayer prioritizes “internal” AVSs, meaning it enhances services and protocols residing on the Solana network, including Solana Layer 2s, decentralized cloud infrastructure, and native Solana dApps. — sUSD Stablecoin: sUSD is a Solana stablecoin backed by real-world assets (RWA), pegged to the US Dollar, and offers yield generation opportunities linked to U.S. Treasury Bills, providing a stable and unique revenue stream. — Cross-chain Interoperability: Solayer envisions seamless asset and liquidity transfers between major blockchains like Ethereum, Solana, and Binance Smart Chain, aiming to reduce trading costs and improve capital efficiency. — Solayer Travel (Emerald Card): A unique offering, Solayer Travel provides an exclusive travel booking platform for Emerald Card holders, enabling discounted global travel using on-chain balances. What is the LAYER Token? The LAYER token is the Utility and Governance Token of the Solayer ecosystem, built on the Solana blockchain. Its diverse utility forms the foundation of the entire protocol, encompassing: — Governance: LAYER holders actively participate in decentralized governance by voting on critical protocol upgrades, treasury management, and ecosystem initiatives. — Staking and Rewards: Users can stake LAYER to help secure the network and earn rewards, incentivizing long-term participation. — Network Fees: LAYER is used to pay transaction fees on the Solayer network and for cross-chain transactions within dApps via Solayer. — Liquidity Provision: Holders can provide liquidity to various pools, earning incentives and strengthening the network’s infrastructure. — Ecosystem Incentives: LAYER tokens are distributed through airdrops and other rewards to foster community engagement and attract new participants. Token Allocation and Tokenomics The LAYER token has a total supply of 1,000,000,000 tokens. The distribution strategy is designed to promote community growth and sustainable development, with tokens allocated as follows: — Community & Ecosystem (51.23%): Focused on continuous research and development, developer programs, ecosystem growth, and community incentives, including potential “Genesis Drops” for early adopters. — Core Contributors & Advisors (17.11%): Allocated to the core team and advisors driving the project’s development and strategic direction. — Investors (16.66%): Reserved for investors who provide funding to support Solayer’s growth. — Solayer Foundation (15%): Committed to expanding product verticals and network development, ensuring adaptability and the integration of future features. Vesting schedules are applied to different allocations (e.g., team and investor tokens have lock-up periods followed by linear unlocks) to ensure long-term alignment and prevent sudden market shifts. LAYER’s tokenomics are crafted to incentivize active participation, maintain a healthy balance of supply and demand, and support the protocol’s sustainability. Who are the Founders? Solayer was founded by Rachel Chu and Jason Li. Their expertise and vision have been instrumental in shaping Solayer’s innovative approach to enhancing Solana’s capabilities. Additionally, the team includes key individuals such as Joshua Sum (Head of Product), and the project is supported by prominent investors and advisors in the crypto space. LAYER Price Snapshot As of July 25, 2025, data from CoinMarketCap shows that the LAYER coin has a market capitalization of US$144,479,398, or approximately 4,678,095,830 Thai Baht. At the time of writing, the LAYER coin is trading at approximately US$0.6879, or about 22.26 Thai Baht per LAYER. LAYER previously reached its all-time high of US$3.40, or approximately 109.98 Thai Baht per LAYER, on May 5, 2025. Reference: Solayer Documentation, CoinMarketCap — — — — — — — — — — — — — — — — — New to crypto? Learn the ropes with our beginner’s guide, ‘Crypto Knowledge for beginners’. When you’re ready, take the next step and start trading today at Bitkub Exchange. Click here to apply! — — — — — — — — — — — — — — — — — Disclaimer: — Cryptocurrency and digital tokens involve high risks; investors may lose all investment money and should study information carefully and make investments according to their own risk profile. — Past Returns does not guarantee future returns/performance. ทำความรู้จักโทเคน LAYER จาก Solayer บล็อกเชน Layer-2 บนเครือข่าย Solana was originally published in Bitkub.com on Medium, where people are continuing the conversation by highlighting and responding to this story.

ทำไมต้องเริ่มลงทุนตั้งแต่วันนี้? ตอนที่ 4 : จุดเด่นของคริปโตที่มือใหม่ควรรู้

ME โทเคนจาก Magic Eden แพลตฟอร์ม NFT ยอดนิยม ที่ทำให้ซื้อขายได้แบบ Multi-chain

Bitkub Exchange และ Bitkub Academy ร่วมมือ DeLorean Labs ขับเคลื่อนนวัตกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล

Kaia บล็อกเชนที่สามารถใช้งานได้ผ่าน LINE ที่จะมาเปิดประสบการณ์ Web3 สู่ผู้ใช้งานกว่า 250 ล้านคน

Sam Altman ผู้สร้าง ChatGPT เกี่ยวอะไรกับโลกคริปโต?

ทำความรู้จักโทเคน CETUS (Cetus Protocol) แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบกระจายอำนาจ บนเครือข่าย Sui และ…